คำถามที่ที่พบบ่อยสำหรับผู้ที่สนใจจัดฟันมีดังนี้
1.จัดฟันได้ตั้งแต่ตอนอายุเท่าไร
สามารถจัดฟันได้หลายช่วงอายุดังนี้
1.การรักษาในเด็กชุดฟันผสม อายุประมาณ 8-12 ปี เน้นการรักษาความผิดปกติของการขึ้นของฟันที่ไปขัดขวางการเจริญเติบโตของขากรรไกรและใบหน้า
การรักษาทำได้โดยการใส่เครื่องมือที่สามารถถอดได้ หรือในบางกรณีอาจจะใช้เครื่องมือติดแน่น และอาจจะต้องมีการรักษาต่อในระยะชุดฟันแท้
2. การรักษาในชุดฟันแท้ อายุตั้งแต่ 12 ปีเป็นต้นไปหรือหลังจากที่ฟันแท้ขึ้นครบแล้ว
การรักษาโดยส่วนใหญ่จะใช้เครื่องมือติดแน่น Bracket ที่ผิวฟัน เพื่อจัดเรียงให้ฟันเรียงตัวสวยงามและบดเคี้ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจจำเป็นต้องถอนฟันร่วมด้วยและต้องใช้เครื่องมืออื่นร่วมด้วย
2.จัดฟันต้องถอนฟันไหม
ไม่จำเป็น ปัจจัยสำคัญอยู่ที่ ความซับซ้อนของการเรียงฟัน กระดูกรอบๆรากฟัน และความสมดุลของขากรรไกรและใบหน้า ดังนั้นการวางแผนการรักษาจึงสำคัญ ช่วยให้ถอนฟันเฉพาะเท่าที่จำเป็นและสามารถแก้ไขปัญหาได้
โดยเฉพาะในปัจจุบัน มินิสกรู (Miniscrew) หรือ การปักหมุดดึงฟัน ก็เป็นตัวช่วยหนึ่งที่ทำให้ฟันสามารถเคลื่อนที่ไปในตำแหน่งที่ต้องการได้ ช่วยลดการถอนฟันได้มากกว่าในอดีต
3.จัดฟันเจ็บไหม
เจ็บเล็กน้อย แแต่แบ่งเป็นเจ็บใน2ลักษณะ ดังนี้
1.เจ็บเนื่องจากฟันได้รับแรงเคลื่อน เป็นกลไกปกติที่ทำให้ฟันเกิดการเปลี่ยนตำแหน่ง การอักเสบนี้เองเป็นสาเหตุที่ทำให้เรารู้สึกปวดตึงฟัน
อาการปวดตึงฟันจะเริ่มขึ้นหลังจากปรับเครื่องมือจัดฟันไปแล้วหลายชั่วโมงและมีอาการต่อเนื่องอยู่ไม่เกิน 7วัน หลังจากนั้นอาการปวดก็จะค่อยๆหายไปเอง
ในกรณีที่มีอาการปวดตึงฟันมาก เราสามารถทานยาแก้ปวดได้ โดยยาแก้ปวดที่เหมาะสมสำหรับคนไข้จัดฟันคือ “ยาพาราเซตตามอล” เนื่องจาก ยาแก้ปวดชนิดอื่นๆ เช่น “ไอบูโพรเฟน” นั้นจะยั้บยั้งกระบวนการเคลื่อนที่ของฟันและทำให้การจัดฟันสำเร็จช้าลงนั่นเอง
2.เจ็บตอนเคี้ยว ขบฟัน สิ่งนี้จะเกิดขึ้นชั่วคราว โดยเฉพาะช่วงแรกๆหรือช่วงที่มีการเปลี่ยนตำแหน่งการสบฟัน
ฟันบางซี่ที่ไม่เคยสบโดนกัน แต่เมื่อเปลี่ยนตำแหน่งแล้วอาจจะสบมากกว่าปกติ ทำให้เมื่อเคี้ยวจึงทำให้เจ็บได้ แต่เมื่อฟันอยู่ในระดับการสบฟันที่ดีขึ้น อาการก็จะหายไป
4.ระยะเวลาที่ใช้ในการจัดฟันนานแค่ไหน
บทความที่เกี่ยวข้อง อยากจัดฟันเสร็จเร็วขึ้น เราช่วยได้อย่างไรบ้าง
5.การจัดฟันทำให้ฟันแข็งแรงน้อยลงหรือไม่
แบ่งเป็น2 ประเด็นดังนี้
1.ความสะอาด การจัดฟันไม่ได้ทำให้ฟันแข็งแรงน้อยลง แต่ทำให้มีปัจจัยเสี่ยงในการเกิดฟันผุ เหงือกอักเสบมากขึ้น เนื่องจากเครื่องมือจะบดบังการทำความสะอาด ทำให้ผู้ที่จัดฟันต้องทำความสะอาดโดยละเอียดมากกว่าปกติ
2.การเคลื่อนฟัน ในช่วงที่ทำการจัดฟันอาจจะรู้สึกฟันโยกหรืออ่อนแอลงชั่วขณะ ถ้าเราทำความสะอาดได้ดีไม่มีโรคปริทันต์แทรกซ้อน เมื่อจัดฟันเสร็จแล้วฟันก็จะกลับมาแน่น แข็งแรงปกติเช่นเดิม
6.จัดฟันหน้าเปลี่ยนไหม
โดยปกติแล้ว รูปร่างใบหน้าที่เปลี่ยนไปจะเป็นผลพลอยได้ในบางเคส เช่น กรณีที่มีฟันกรามล้มแล้วตั้งฟันขึ้นปรับการสบฟันใหม่ อาจจะรู้สึกใบหน้ายาวขึ้น หรือ กรณีที่ใบหน้ายาวแต่มีแผนถอนฟันเพื่อแก้ไข ก็อาจทำให้ใบหน้าสั้นลงสมส่วนขึ้น
แต่จะไม่สามารถฟันธงได้แน่นอนว่า การจัดฟันแต่ละกรณีจะทำให้ใบหน้าเปลี่ยนมากหรือน้อยเพียงใด เนื่องจากฟันนั้นเคลื่อนอยู่บนกระดูกรอบๆรากฟัน ในชิ้นของกระดูกขากรรไกร
ซึ่งมักจะไม่เปลี่ยนแปลง โดยยังมีชั้นไขมัน กล้ามเนื้อ และผิวหนังภายนอกคลุมอยู่อีกที ซึ่งการแก้ไขรูปร่างใบหน้า อาจจะแก้ไขโดยแพทย์เสริมความงามจะเห็นผลชัดกว่า
7.จัดฟันแล้วสามารถทำจมูกได้หรือไม่
สามารถทำได้ แต่เสริมความเข้าใจเล็กน้อยว่า กระดูกชิ้นที่เป็นจมูก กับ กระดูกที่เป็นที่ตั้งของฟันนั้นเป็นกระดูกคนละชิ้นกัน คนที่ทำจมูกมาแล้วทำการจัดฟัน ไม่ได้มีผลให้จมูกเบี้ยวหรือเคลื่อนที่ไป
ในทางกลับกันคนที่จัดฟันอยู่ แล้วไปทำจมูก อาจจะทำให้คุณหมอทำจมูกมองสัดส่วนใบหน้าโดยรวมให้ “เป๊ะ” ยากมากขึ้น เนื่องจากตำแหน่งฟันที่อนาคตจะเปลี่ยนไป หรือเครื่องมือของผู้ที่จัดฟันแบบโลหะเมื่อถอดออกแล้วปากจะอูมนูนลดลงอีก
ดังนั้น ถ้ารอหน่อย และต้องการความ “เป๊ะ” อาจจะรอให้จัดฟันเสร็จก่อนแล้วจึงทำจมูก น่าจะดีกว่า
ใส่ความเห็น