ความมั่นใจใน”รอยยิ้ม” คือพลังอันยิ่งใหญ่ ช่วยส่งเสริมให้เรามีความมั่นใจใน”ตัวเอง”มากขึ้น เมื่อต้องเข้าสังคม
การจัดฟัน หรือ ดัดฟัน คือการรักษาทางทันตกรรมที่ช่วยเคลื่อนฟันให้มีตำแหน่งที่ใกล้เคียงกับปกติ ประโยชน์นอกจากความสวยงามแล้ว การใช้งานก็จะดีขึ้นด้วย
วันนี้เราจะขอนำเสนอ การจัดฟันทั้ง 4 แบบ คือ จัดฟันโลหะปกติ, จัดฟันดามอน, จัดฟันใสinvisalign และ จัดฟันใส Clear aligner
เพื่อให้ผู้อ่านได้ค้นหาว่า แบบไหนน่าจะเหมาะกับเรามากที่สุด
ซึ่งครั้งแรกต้องจ่ายเท่าไรนั้น เรายินดีให้คำปรึกษาฟรี ผู้อ่านสามารถติดตามโปรโมชันล่าสุดได้ ที่นี่
จัดฟัน คือ
การเคลื่อนตำแหน่งฟันไปในทิศทางที่วางแผนการรักษา เพื่อแก้ไขความ “ผิดปกติ” ต่างๆ เช่น
- ฟันซ้อนเก 2.ฟันยื่น 3.ฟันห่าง 4.ฟันล้ม 5.ฟันสบไม่สนิท 6.ฟันสบคร่อม 7.ฟันสบเบี้ยว
ซึ่งทำให้เรามีปัญหา ไม่มั่นใจใน “รอยยิ้ม” หรือ การบดเคี้ยวผิดปกติมากขึ้นเรื่อยๆ หรือ เศษอาหารติดทำความสะอาดยาก มีกลิ่นปาก ก็ทำให้เราไม่มั่นใจใน “ตัวเอง” เวลาอยู่กับเพื่อนๆ หรือพูดคุยในที่ทำงาน
โดยหลักการของการเคลื่อนฟันคือ การให้แรงแก่ฟัน ในระยะเวลาที่นานพอ ฟันก็จะสามารถเคลื่อนได้ เนื่องจากฟันจะมีเส้นใยยึดกับกระดูกรอบรากฟัน ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงตำแหน่งได้ตลอดชีวิต ดังนั้น ทุกท่านที่สนใจจัดฟัน ไม่ว่าจะอายุเท่าไรก็สามารถจัดฟันได้
ฟันแบบไหนที่ควรเริ่มจัด
ถ้าผู้อ่านเป็นผู้ปกครอง เมื่อรู้สึกว่าฟันของน้องๆ มีลักษณะการขึ้นที่ไม่เหมือนเด็กคนอื่น หรือเคยตรวจฟันมาแล้วพบว่าฟันอาจจะมีที่ให้ฟันแท้ขึ้นไม่เพียงพอ หรือน้องกัดฟันแล้วฟันสบคร่อมชัดเจน
“จัดฟันเด็ก” ก็สามารถทำได้ แต่เพื่อเน้นแก้ไขความผิดปกติบางอย่าง เช่น แก้ไขการสบคร่อม หรือช่วยขยายขากรรไกรเพื่อให้มีที่ให้ฟันแท้ขึ้นเพียงพอ
เป้าหมายเพื่อบรรเทาความผิดปกติ ไม่ให้มีผลต่อการพัฒนาของกระดูกขากรรไกรและใบหน้า รวมถึงแก้ไขนิสัยบางอย่างตั้งแต่เริ่มต้น เช่น การดูดนิ้ว กัดเล็บ หายใจทางปาก ซึ่งมีผลต่อฟันและการเจริญเติบโตด้วย
“จัดฟันเด็ก”จะเป็นการจัดฟันในช่วงระยะสั้นๆ และอาจจะจัดฟันอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้ฟันเรียง “ปกติ” เมื่อฟันแท้ขึ้นพอสมควรแล้ว
ถ้าผู้อ่านรู้สึกว่าฟันตัวเองมีความผิดปกติ เหล่านี้
1.ฟันซ้อนเก ดูไม่เรียบร้อย ทำความสะอาดยาก
2.ฟันยื่น คนทักหรือแซวบ่อย ปิดปากให้สนิทได้ยาก
3.ฟันห่าง ผู้ใหญ่ทักโหงวเฮ้งไม่ดี เศษอาหารติดง่าย หินปูนขึ้นง่าย
4.ฟันล้ม ฟันถอนนานแล้วไม่ได้ใส่ฟันปลอม ฟันเอียงมากขึ้นกัดเจ็บ หรือ ทำความสะอาดยาก
5.ฟันสบไม่สนิท กัดฟันหลังแต่ฟันหน้ากัดไม่สนิท
6.ฟันสบคร่อม ฟันล่างคร่อมปิดฟันบน ยิ่งนานไปฟันหน้าบนยิ่งสึกมากขึ้นเรื่อยๆ
7.ฟันสบเบี้ยว ฟันหน้าบนและล่างไม่ตรงกันชัดเจน หรือ ฟันข้างนึงยกกว่าอีกข้างนึงชัดเจน
ความผิดปกติเหล่านี้ ถ้าเราสังเกตเห็นได้ด้วยตนเอง แล้วทำให้เราไม่มั่นใจ ก็สามารถปรึกษาจัดฟันได้ทันที เมื่อฟังแผนการรักษาเบี้องต้นแล้วผู้อ่านจึงพิจารณาอีกครั้งว่าจะเริ่มจัดฟันดีหรือไม่
เตรียมตัวก่อนจัดฟัน
1.นัดปรึกษาคุณหมอจัดฟัน
2.พิมพ์ปาก หรือ สแกนฟัน ถ่ายรูปช่องปาก และใบหน้า เพื่อจำลองตำแหน่งฟันก่อนจัดฟัน นำไปใช้ในการวางแผนการรักษา และเปรียบเทียบผลการจัดฟัน
3.เอกซเรย์ เพื่อนำข้อมูลมาประกอบการวินิจฉัย ประเมินฟัน กระดูกขากรรไกรบนและล่าง ดูการสบของฟัน วางแผนการจัดฟัน
4.เคลียร์ช่องปาก โดยทั่วไปคือการ อุดฟัน ขูดหินปูน ถอนฟันบางตำแหน่ง ผ่าฟันคุด เพราะถ้าได้ติดเครื่องมือจัดฟันแล้ว ต้องกลับมาทำการอุดฟัน หรือทำการรักษาฟันใด ๆ จะทำให้การเข้าทำงานยากมากขึ้น
5.ฝึกวิธีการแปรงฟัน และการทำความสะอาดซอกฟัน เนื่องจากเมื่อเริ่มจัดฟันแล้วมีโอกาสเสี่ยงต่อฟันผุ และเหงือกอักเสบได้มากขึ้น ต้องการความละเอียดในการทำความสะอาดมากกว่าปกติ
6.คุยแผนการจัดฟันกับคุณหมอ และเริ่มขั้นตอนการจัดฟัน
การจัดฟันแบบไหน เหมาะกับเรา
1.จัดฟันโลหะปกติ
ได้รับความนิยมมากที่สุด เป็นแบบที่จะมีอุปกรณ์ติดกับตัวฟันเป็นสีของโลหะ(ซึ่งเป็นโลหะผสมกันสนิม) เราเรียกว่า Bracket โดยจะมียางวงเล็กๆที่สามารถเลือกสีได้ ช่วยยึดลวดกับตัว Bracketเพื่อเคลื่อนฟัน
ข้อดีของการจัดฟันโลหะปกติ
- ราคาย่อมเยากว่าแบบอื่น
- สามารถเลือกสีสันของยางจัดฟันได้ และเปลี่ยนได้ในทุกๆเดือนที่มาพบทันตแพทย์
ข้อด้อยของการจัดฟันโลหะปกติ
- เห็นตัวเครื่องมือชัดเจน
- ต้องมาเปลี่ยนยางและพบทันตแพทย์ทุกเดือน เนื่องจากเมื่อเวลาผ่านไปยางจะอ่อนแรงลง
- ทำความสะอาด ต้องใช้ความละเอียดมากขึ้นเนื่องจาก เครื่องมือจะบดบังเข้าถึงยาก
2.จัดฟันดามอน DAMON
การจัดฟันแบบนี้จะมีอุปกรณ์ติดกับตัวฟันเป็นสีของโลหะเช่นเดียวกัน แต่ตัวอุปกรณ์จะถูกออกแบบมาให้เปิดและปิดได้ เพื่อขังลวดไว้กับตัวอุปกรณ์แทนการใช้ยางรัด
ข้อดีของการจัดฟันดามอน
- เจ็บน้อยกว่า เนื่องจากแรงรัดน้อยกว่า
- ระยะเวลาในการจัดฟันลดลงได้ เนื่องจากฟันจะสามารถเคลื่อนที่ได้ดีกว่า
- สามารถนัดห่างมากกว่า 1 เดือนได้
ข้อด้อยของการจัดฟันโลหะปกติ
- เห็นตัวเครื่องมือชัดเจน
- ราคาสูงกว่าการจัดฟันโลหะปกติ
- ไม่สามารถเปลี่ยนสีได้
3.จัดฟันใส Invisalign
การจัดฟันแบบนี้ อุปกรณ์หลักคือชิ้นงานที่สามารถถอดใส่ได้ เป็นนวัตกรรมการจัดฟัน ภายใต้บริษัท Align Technology ที่จดทะเบียนในสหรัฐอเมริกา
อุปกรณ์จะมีลักษณะใส โดยฟันจะเคลื่อนตามลำดับชิ้นงานที่ใส่ ซึ่งบนตัวฟันจะมีการติดวัสดุเป็นปุ่มเล็กๆเพื่อช่วยเคลื่อนฟัน ถ้าไม่สังเกตก็จะไม่ทราบว่ากำลังจัดฟันอยู่
ข้อดีของการจัดฟันใส Invisalign
- มองไม่เห็นอุปกรณ์จัดฟัน เหมาะกับผู้ที่ไม่ชอบให้เห็น อุปกรณ์โลหะจัดฟัน
- ทำความสะอาดง่าย
- เจ็บน้อยกว่า เนื่องจากชิ้นงานแต่ละชิ้นจะค่อยๆขยับฟันตามแผนที่วางไว้
ข้อด้อยของการจัดฟันใส Invisalign
- ราคาค่อนข้างสูง
- ต้องมีวินัยในการใส่ชิ้นงานตามแผน อย่างน้อยวันละ 22ชั่วโมง
4.จัดฟันใส Clear aligner
การจัดฟันแบบนี้ อุปกรณ์หลักคือชิ้นงานที่สามารถถอดใส่ได้ คล้ายกับ Invisalign แต่จะเป็นการทำชิ้นงานจากบริษัทอื่น ซึ่งทันตแพทย์คัดเลือกมาให้แล้ว เพื่อให้สามารถแก้ไขความผิดปกติเล็กน้อยถึงปานกลาง โดยที่มีราคาที่เบากว่า
ข้อดีของการจัดฟันใส Clear aligner
- มองไม่เห็นอุปกรณ์จัดฟัน เหมาะกับผู้ที่ไม่ชอบให้เห็น อุปกรณ์โลหะจัดฟัน
- ทำความสะอาดง่าย
- เจ็บน้อยกว่า เนื่องจากชิ้นงานแต่ละชิ้นจะค่อยๆขยับฟันตามแผนที่วางไว้
ข้อด้อยของการจัดฟันใส Clear aligner
- ใช้ในกรณีที่มีความผิดปกติเล็กน้อย จนถึงปานกลาง
- ต้องมีวินัยในการใส่ชิ้นงานตามแผน อย่างน้อยวันละ 22ชั่วโมง
ตัวอย่างการรักษาก่อนและหลัง
1.การแก้ไขฟันสบคร่อมในเด็ก

2.การแก้ไขฟันเขี้ยวสูง โดยจัดฟันโลหะปกติ

3.การแก้ไขฟันซ้อน โดยจัดฟันดามอน DAMON

4.การแก้ไขฟันซ้อน โดยจัดฟัน Invisalign

ข้อปฏิบัติในระหว่างการจัดฟัน
- หลีกเลี่ยงการเคี้ยวอาหารแข็ง เหนียวและกรอบทั้งหลาย เช่น การเคี้ยวก้อนน้ำแข็ง ปลาหมึก ถั่ว ลูกอม ท้อฟฟี่ และหมากฝรั่ง เพราะจะทำให้เครื่องมือจัดฟันหลุดได้
- การรับประทานผัก ผลไม้ ควรตัดแบ่งเป็นชิ้นเล็กพอคำ และเคี้ยวด้วยฟันกรามข้างหลัง ควรเลือกรับประทานของอ่อน ๆ
- ในระยะแรกของการจัดฟันมักจะเจ็บฟันและอาจมีแผลเกิดขึ้นในช่องปาก ซึ่งอาการจะค่อย ๆ ทุเลาลงในสัปดาห์ที่ 2 การลดการระคายเคืองโดยนำขี้ผึ้งที่ได้รับจากทันตแพทย์ทาปิดทับบริเวณที่ แหลมคมและการดื่มน้ำให้มาก จะทำให้แผลหายเร็วขึ้น
- ถ้ามีลวดเส้นเล็ก ๆ งอมาแทงริมฝีปากหรือแก้ม ให้ใช้ของไม่มีคม เช่น ยางลบปลายดินสอเช็ดแอลกอฮอล์ กดปลายลวดเข้าไป
- แปรงฟันทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร เพื่อลดการเกิดฟันผุในระหว่างการจัดฟัน และควรใช้อุปกรณ์ทำความสะอาดซอกฟันร่วมด้วยเสมอ แนะนำให้ใช้ยาสีฟัน และน้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ จะช่วยป้องกันฟันผุได้
- ในระหว่างการจัดฟันควรพบทันตแพทย์เพื่อขูดหินปูน ทำความสะอาดฟันและตรวจฟันผุทุก ๆ 6 เดือน
- ระมัดระวังในคนไข้ที่เป็นนักกีฬา อาจจะใส่mouth guard ป้องกันการล้มกระทบกระแทกฟัน
ข้อมูลจาก สมาคมทันตแพทย์จัดฟันแห่งประเทศไทย
บทความที่เกี่ยวข้อง 7วิธีทำความสะอาดในคนไข้จัดฟัน
หลังจัดฟัน ต้องใส่ “รีเทนเนอร์” นานแค่ไหน
หลังจากถอดเครื่องมือจัดฟันแบบติดแน่นแล้ว ยังต้องใส่เครื่องมือคงสภาพฟันซึ่งเป็นเครื่องมือแบบถอดได้ต่อไปอีก โดยให้ใส่ตลอดเวลาทั้งวันและใส่ตอนนอน ถอดออกเฉพาะเมื่อรับประทานอาหารและแปรงฟัน อย่างน้อย 6 เดือน หลังจากนั้นให้ใส่เครื่องมือคงสภาพฟันเฉพาะตอนนอน อีกประมาณ 2-3 ปี เพื่อให้ฟันที่ได้จัดเรียบร้อยแล้วคงสภาพเรียงตรงอยู่ได้
ข้อมูลจาก คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
คำแนะนำเพิ่มเติม ในทุกเคสอยากจะแนะนำว่า ให้ใส่รีเทนเนอร์ไปตลอดชีวิต แต่ในปีหลังๆเราอาจจะใส่เพียงแค่บางคืน เพื่อคงสภาพฟันไว้ไปได้เรื่อยๆ เนื่องจากการใช้งานฟันของเราในทุกๆวันนั้นจะมีแรงที่กระทำต่อฟันอยู่ ทำให้เกิดฟันสึกฟันเคลื่อนเล็กๆน้อยๆสะสม
ในคนไข้ที่ไม่ได้ใส่รีเทนเนอร์ เมื่อนานไปหลักหลายปี อาจพบเห็นฟันหน้าล่าง เริ่มบิดและซ้อนเกได้เป็นตำแหน่งแรก และหลังจากนั้นอาจเกิดการสบกระแทกทำให้ฟันบนเริ่มผิดตำแหน่งตามมาได้ด้วย
ดังนั้นการใส่รีเทนเนอร์คุมตำแหน่งฟันไว้เรื่อยๆ ก็เป็นวิธีที่แน่นอนกว่า ถ้าคนไข้ไม่อยากจัดฟันอีกครั้งในอนาคต
ผลข้างเคียงจากการจัดฟัน
- ฟันโยกระหว่างจัดฟัน
เมื่อฟันได้รับแรงจากเครื่องมือจัดฟัน การสลายตัวของกระดูกและเอ็นยึดฟันนั่นเองที่ทำให้เกิดภาวะฟันโยก หลังจากที่เราหยุดให้แรงจัดฟันแล้ว กระดูกเบ้าฟันและเอ็นยึดฟันจะเกิดการซ่อมแซมตัวเองทำให้ภาวะฟันโยกหายไปได้เอง
- อาการปวดฟัน
อาการปวดตึงฟันเป็นของที่เกิดคู่กับการจัดฟัน โดยหลังจากการปรับเครื่องมือจัดฟัน คนไข้จะมีอาการปวดตึงฟันอยู่ประมาณ 2-4 วันและอาการปวดตึงนั้นจะหายไปเอง
- รากฟันละลาย
ภาวะการละลายของรากฟันประมาณ 1-2 มิลลิเมตรบริเวณปลายรากฟัน เป็นผลข้างเคียงที่เรามักพบเสมอๆภายหลังจากการจัดฟัน เพราะการละลายของรากฟันนี้เป็นผลพวงมาจากกระบวนการสร้างและสลายกระดูกรอบๆฟันและเอ็นเย็ดฟัน
4.การละลายของกระดูกเบ้าฟัน
โดยปกติแล้วเราจะพบการละลายของกระดูกเบ้าฟันได้บ้างเล็กน้อยประมาณ 0.5-1 มิลลิเมตรภายหลังจากการจัดฟัน
นอกจาก 4 หัวข้อที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว “ยังมีผลข้างเคียงอื่นๆที่พบได้ เช่น ฟันผุ, เหงือกอักเสบ หรือ เหงือกบวม เป็นต้น อย่างไรก็ตามปัญหาเหล่านี้สามารถป้องกันได้ด้วยการดูแลสุขภาพช่องปากให้ดีอยู่เสมอ” ซึ่งจะกล่าวต่อไปในหัวข้อ “การดูแลสุขภาพช่องปาก”
ข้อมูลจาก คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จัดฟันที่ไหนดี
ในปัจจุบัน เกือบทุกคลินิกทันตกรรม มีบริการด้านการจัดฟัน ผู้อ่านอาจจะพิจารณาจาก คนรู้จักคนใกล้ตัว ชื่อของทันตแพทย์ที่จะทำการจัดฟันให้เรา หรือรีวิวเคส รวมทั้งการบริการของคลินิก ไปจนถึงโปรโมชันต่างๆ
แต่อย่าลืมประเด็นที่สำคัญที่สุด คือ เราสามารถไปรับบริการได้เป็นประจำอย่างต่อเนื่องหรือไม่ เพราะการจัดฟันนั้นต้องใช้เวลา การไปตามนัดได้อย่างต่อเนื่องมีผลอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในการจัดฟัน
ถาม-ตอบ เรื่องการจัดฟัน
จัดฟันได้ตั้งแต่ตอนอายุเท่าไร
สามารถจัดฟันได้หลายช่วงอายุดังนี้
1.การรักษาในเด็กชุดฟันผสม อายุประมาณ 8-12 ปี เน้นการรักษาความผิดปกติของการขึ้นของฟันที่ไปขัดขวางการเจริญเติบโตของขากรรไกรและใบหน้า
การรักษาทำได้โดยการใส่เครื่องมือที่สามารถถอดได้ หรือในบางกรณีอาจจะใช้เครื่องมือติดแน่น และอาจจะต้องมีการรักษาต่อในระยะชุดฟันแท้
2. การรักษาในชุดฟันแท้ อายุตั้งแต่ 12 ปีเป็นต้นไปหรือหลังจากที่ฟันแท้ขึ้นครบแล้ว
การรักษาโดยส่วนใหญ่จะใช้เครื่องมือติดแน่น Bracket ที่ผิวฟัน เพื่อจัดเรียงให้ฟันเรียงตัวสวยงามและบดเคี้ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจจำเป็นต้องถอนฟันร่วมด้วยและต้องใช้เครื่องมืออื่นร่วมด้วย
จัดฟันต้องถอนฟันไหม
ไม่จำเป็น ปัจจัยสำคัญอยู่ที่ ความซับซ้อนของการเรียงฟัน กระดูกรอบๆรากฟัน และความสมดุลของขากรรไกรและใบหน้า ดังนั้นการวางแผนการรักษาจึงสำคัญ ช่วยให้ถอนฟันเฉพาะเท่าที่จำเป็นและสามารถแก้ไขปัญหาได้
โดยเฉพาะในปัจจุบัน มินิสกรู (Miniscrew) หรือ การปักหมุดดึงฟัน ก็เป็นตัวช่วยหนึ่งที่ทำให้ฟันสามารถเคลื่อนที่ไปในตำแหน่งที่ต้องการได้ ช่วยลดการถอนฟันได้มากกว่าในอดีต
จัดฟันเจ็บไหม
เจ็บเล็กน้อย แแต่แบ่งเป็นเจ็บใน2ลักษณะ ดังนี้
1.เจ็บเนื่องจากฟันได้รับแรงเคลื่อน เป็นกลไกปกติที่ทำให้ฟันเกิดการเปลี่ยนตำแหน่ง การอักเสบนี้เองเป็นสาเหตุที่ทำให้เรารู้สึกปวดตึงฟัน
อาการปวดตึงฟันจะเริ่มขึ้นหลังจากปรับเครื่องมือจัดฟันไปแล้วหลายชั่วโมงและมีอาการต่อเนื่องอยู่ไม่เกิน 7วัน หลังจากนั้นอาการปวดก็จะค่อยๆหายไปเอง
ในกรณีที่มีอาการปวดตึงฟันมาก เราสามารถทานยาแก้ปวดได้ โดยยาแก้ปวดที่เหมาะสมสำหรับคนไข้จัดฟันคือ “ยาพาราเซตตามอล” เนื่องจาก ยาแก้ปวดชนิดอื่นๆ เช่น “ไอบูโพรเฟน” นั้นจะยั้บยั้งกระบวนการเคลื่อนที่ของฟันและทำให้การจัดฟันสำเร็จช้าลงนั่นเอง
2.เจ็บตอนเคี้ยว ขบฟัน สิ่งนี้จะเกิดขึ้นชั่วคราว โดยเฉพาะช่วงแรกๆหรือช่วงที่มีการเปลี่ยนตำแหน่งการสบฟัน
ฟันบางซี่ที่ไม่เคยสบโดนกัน แต่เมื่อเปลี่ยนตำแหน่งแล้วอาจจะสบมากกว่าปกติ ทำให้เมื่อเคี้ยวจึงทำให้เจ็บได้ แต่เมื่อฟันอยู่ในระดับการสบฟันที่ดีขึ้น อาการก็จะหายไป
ระยะเวลาที่ใช้ในการจัดฟันนานแค่ไหน
ระยะเวลาจะแตกต่างกันไปตามความผิดปกติที่ต้องแก้ไข ในกรณีที่จัดฟันครั้งแรกมักจะไม่น้อยกว่า 1 ปี เฉลี่ยแล้วประมาณ 2-3ปี
จะมีการจัดฟันรอบสองที่อาจจะใช้เวลาน้อยกว่า เช่น 3เดือน หรือ 6เดือน ก็สามารถเกิดขึ้นได้ ในกรณีที่ฟันห่างหรือฟันเกเล็กน้อย
แต่ก็มีบางเคสที่เกินค่าเฉลี่ย เช่น มากกว่า3ปี มากกว่า5ปี อาจจะด้วยปัจจัยความสม่ำเสมอในการเข้ารับการรักษา หรือช่องว่างบางตำแหน่งคนไข้ต้องการปิดช่องว่างแทนการใส่ฟันปลอมปัจจัยเหล่านี้ก็อาจะทำให้การจัดฟันนานกว่าปกติได้
ปัจจัยที่มีผลต่อระยะเวลาในการจัดฟันมีดังนี้
1.ปัญหาที่ต้องแก้ไข ฟันที่มีการเรียงตัวผิดปกติมาก ใช้เวลาในการจัดฟันนานกว่า
2.มีการสบฟันที่ผิดปกติ การสบฟันที่ผิดปกติมาพร้อมกับแรงสบฟัน และความเคยชินของกล้ามเนื้อ และวิธีการเคี้ยว ถ้าต้องแก้ไขการสบฟันจะทำให้ใช้เวลาจัดฟันนานขึ้น
3.วางแผนถอนฟัน ถ้าจำเป็นต้องถอนฟันร่วมด้วย ก็จะต้องใช้เวลาจัดฟันนานกว่า
4.ชนิดของการจัดฟันที่เลือก การจัดฟันโลหะปกติจะออกแรงได้ดีในช่วง 1-2 อาทิตย์แรก หลังจากนั้นแรงของยางรัด(o-ring) หรือเชน(chain)จะอ่อนแรงลง การจัดฟันดามอน หรือการจัดฟันใส จะสามารถออกแรงเคลื่อนฟันได้ต่อเนื่องตลอดเวลา ส่งผลให้เคลื่อนฟันได้ไว และมีโอกาสจัดฟันเสร็จเร็วกว่า
5.การดูแลสุขภาพช่องปาก เมื่อเกิดฟันผุหรือเหงือกอักเสบอาจทำให้ต้องหยุดการรักษาชั่วคราวและส่งอุดฟันหรือขูดหินปูนทำให้เสียเวลาการเคลื่อนฟันออกไป
โดยเฉพาะถ้าเกิดในกรณีที่ไม่ได้มาทำการรักษาเป็นประจำเกิดพบว่า มีฟันผุต้องรักษารากฟัน หรือต้องหยุดรักษาโรคปริทันต์ให้หายดีก่อน ก็จะยิ่งทำให้การจัดฟันต้องนานออกไปได้อีก
6.ความร่วมมือในการรักษา ควรปฎิบัติตามคำแนะนำของคุณหมออย่างเคร่งครัด เช่น การดึงยางจัดฟัน การมาพบคุณหมอตามนัด กรณีที่คุณจัดฟันแบบใส คุณควรใส่เครื่องมือจัดฟันต่อเนื่อง การทำตามคำแนะนำอย่างดีเยี่ยมให้ผลในสองประเด็น
อย่างแรก คือ ฟันเคลื่อนตามแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณหมอสามารถทำงานในขั้นตอนต่อไปได้
อย่างที่สอง ถ้าทำเต็มที่แล้วฟันไม่เคลื่อนตามที่คุณหมอวางแผนไว้ คุณหมอจะได้กลับมาตรวจสอบสาเหตุ หรือหาทางแก้ไขด้วยวิธีอื่น เพื่อไม่ให้ระยะเวลาการจัดฟันยาวนานมากจนเกินไป
7.อายุ คนไข้อายุน้อยจะสามารถเคลื่อนฟันได้ง่ายกว่า ใช้เวลาจัดฟันน้อยกว่าคนไข้อายุมาก (แต่คนไข้อายุมากก็จัดฟันได้ แอบกระซิบว่าการพักผ่อนให้เพียงพอ การมีสุขภาพที่แข็งแรงนั้นมีผลต่อการจัดฟันด้วย เนื่องจากการจัดฟันคือการซ่อมและสร้างเพื่อเคลื่อนตำแหน่งฟันสลับกันไป ถ้าร่างกายมีประสิทธิภาพที่ดีการเคลื่อนฟันก็จะดีด้วย)
8.อาหาร – อาหารที่แข็ง หรือเหนียว อาจก่อให้เกิดความเสียหายกับเครื่องมือจัดฟัน ซึ่งหากเกิดขึ้นบ่อยๆ ก็จะส่งผลให้จัดฟันเสร็จช้าลง เช่น ฟันกำลังเคลื่อนไปด้านหนึ่งได้สัก 1มิลลิเมตรแล้ว ปรากฎว่าเครื่องมือหลุดโดยที่คนไข้ไม่รู้ตัว กว่าจะพบคุณหมออีกครั้งฟันก็เด้งกลับไปที่เดิมแล้ว เป็นต้น
9.ยา – ยาบางชนิดเช่น ยาแก้ปวดแก้อักเสบ NSAIDS (Ibuprofen, Aspirin) ยาในกลุ่ม Steroid และยากดภูมิกุ้มคัน จะทำให้ฟันเคลื่อนตัวช้าลง ขณะที่ยาเพิ่มไทรอยด์ และ วิตามินดี จะทำให้ฟันของคุณเคลื่อนไวกว่าปกติก็จะต้องระวังเช่นกัน
การจัดฟันทำให้ฟันแข็งแรงน้อยลงหรือไม่
แบ่งเป็น2 ประเด็นดังนี้
1.ความสะอาด การจัดฟันไม่ได้ทำให้ฟันแข็งแรงน้อยลง แต่ทำให้มีปัจจัยเสี่ยงในการเกิดฟันผุ เหงือกอักเสบมากขึ้น เนื่องจากเครื่องมือจะบดบังการทำความสะอาด ทำให้ผู้ที่จัดฟันต้องทำความสะอาดโดยละเอียดมากกว่าปกติ
2.การเคลื่อนฟัน ในช่วงที่ทำการจัดฟันอาจจะรู้สึกฟันโยกหรืออ่อนแอลงชั่วขณะ ถ้าเราทำความสะอาดได้ดีไม่มีโรคปริทันต์แทรกซ้อน เมื่อจัดฟันเสร็จแล้วฟันก็จะกลับมาแน่น แข็งแรงปกติเช่นเดิม
จัดฟันหน้าเปลี่ยนไหม
โดยปกติแล้ว รูปร่างใบหน้าที่เปลี่ยนไปจะเป็นผลพลอยได้ในบางเคส เช่น กรณีที่มีฟันกรามล้มแล้วตั้งฟันขึ้นปรับการสบฟันใหม่ อาจจะรู้สึกใบหน้ายาวขึ้น หรือ กรณีที่ใบหน้ายาวแต่มีแผนถอนฟันเพื่อแก้ไข ก็อาจทำให้ใบหน้าสั้นลงสมส่วนขึ้น
แต่จะไม่สามารถฟันธงได้แน่นอนว่า การจัดฟันแต่ละกรณีจะทำให้ใบหน้าเปลี่ยนมากหรือน้อยเพียงใด เนื่องจากฟันนั้นเคลื่อนอยู่บนกระดูกรอบๆรากฟัน ในชิ้นของกระดูกขากรรไกร
ซึ่งมักจะไม่เปลี่ยนแปลง โดยยังมีชั้นไขมัน กล้ามเนื้อ และผิวหนังภายนอกคลุมอยู่อีกที ซึ่งการแก้ไขรูปร่างใบหน้า อาจจะแก้ไขโดยแพทย์เสริมความงามจะเห็นผลชัดกว่า
จัดฟันแล้วสามารถทำจมูกได้หรือไม่
สามารถทำได้ แต่เสริมความเข้าใจเล็กน้อยว่า กระดูกชิ้นที่เป็นจมูก กับ กระดูกที่เป็นที่ตั้งของฟันนั้นเป็นกระดูกคนละชิ้นกัน คนที่ทำจมูกมาแล้วทำการจัดฟัน ไม่ได้มีผลให้จมูกเบี้ยวหรือเคลื่อนที่ไป
ในทางกลับกันคนที่จัดฟันอยู่ แล้วไปทำจมูก อาจจะทำให้คุณหมอทำจมูกมองสัดส่วนใบหน้าโดยรวมให้ “เป๊ะ” ยากมากขึ้น เนื่องจากตำแหน่งฟันที่อนาคตจะเปลี่ยนไป หรือเครื่องมือของผู้ที่จัดฟันแบบโลหะเมื่อถอดออกแล้วปากจะอูมนูนลดลงอีก
ดังนั้น ถ้ารอหน่อย และต้องการความ “เป๊ะ” อาจจะรอให้จัดฟันเสร็จก่อนแล้วจึงทำจมูก น่าจะดีกว่า
บทสรุป
จัดฟันแบบไหน เหมาะกับเรามากที่สุด อาจจะเริ่มจากตัวผู้อ่านเองก่อนว่าต้องการแก้ไขปัญหาอะไรบ้าง แบบใสหรือว่ามีโลหะได้ ทำการปรึกษากับคุณหมอว่าเคสเราเป็นเช่นไร ง่ายหรือยากกว่าที่เราคิดไว้
ทางคุณหมอก็จะช่วยเราประเมิน ทั้งการประเมินภาพรวมในวันที่เข้ารับการปรึกษา และวางแผนอย่างละเอียด เมื่อคนไข้ตกลงเอกซเรย์ พิมพ์ปาก และถ่ายรูปไว้ โดยหลังจากคุณหมอวางแผนการรักษาให้เราเรียบร้อย วันที่คุยแผนเราก็จะตัดสินใจได้แน่นอน ว่าจะเลือกจัดฟันแบบใด
ใส่ความเห็น